วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

คำแนะนำจากคนที่ทำงานมา(เกือบ)1ปี

สิ่งที่เก็บมาจาก(เกือบ)ปีแรกของการทำงาน-การหางาน
การหางาน ผมเคยสัมภาษณ์งานมาทั้งหมด 10(ลืมไปที่นึง) ที่กับบริษัทดังนี้ (สมัครไปกว่า 50-60ที่) Microsoft, Mars, Google, Henkel, SoftBank, Mercedes Benz, Samsung, Nielsen, DSG, LINE
ซึ่งสายงานที่สมัครเป็น Sales, Marketing, Management Trainee อย่างเดียว ซึ่งพึงต้องระลึกไว้ว่าอาจจะต่างจากสาย Finance, Agency, Engineer, Account บลาๆนะครับ
ผมได้งานบ้างไม่ได้งานบ้าง ได้งานแล้วโดนยกเลิกสัญญาก็มี(โชคดีมาก) แต่คิดว่าในปีแรกของการทำงาน ไม่น่ามีใครเยอะกว่านี้แล้วล่ะ งานล่าสุดที่ทำมาคือ 9 เดือน และพรุ่งนี้ผมจะเริ่มงานใหม่ เหมือนเปิดปี2ของชีวิตการทำงาน เลยขอพิมแชร์ประสบการณ์ หางาน - ทำงาน(ตอนต่อไป) ให้อ่านเล่นกัน
1. หางานใช้ทั้งความพยายาม+ดวง เทคนิคที่ดีสำหรับเด็กจบใหม่คือ ทำ Resume ให้ตรงกับที่ๆอยากสมัคร แล้วก็ส่งไปทุกที่ ที่ไหนเรียกก็ไปสัมภาษณ์ ได้ offer แล้วค่อยมาเลือก
2. ที่หางานที่ดีมากๆ 2 ที่คือ Jobsd.com เป็น Active และ Linkedin เป็น Passive ใครกำลังจะหางานแล้วยังไม่มี Linkedin ควรไปทำ Profile ได้แล้วนะ บริษัทยักษ์ๆอย่าง Google P&G Unilever ก็ใช้หมดแล้ว(ในตน.สำคัญๆ)
3. งานดูจากเนื้องานที่ทำที่ต้องอ่านและถามคนที่เคยทำ ไม่ใช่จากชื่อ เดี๋ยวนี้จะชอบมีบริษัทหลอกๆ มาตั้งชื่อตนสวยๆ (ที่ฮิตคือ Management Trainee) มาหลอกให้เด็กจบใหม่ไปสมัคร
4 พวกที่ทำกิจกรรมนั่นนี่มาเยอะๆ แล้วบอกว่าไม่มีที่ใส่ อันนี้แปลว่าคุณไม่ Focus แล้ว เลือกแค่ Top 3-5 กิจกรรม มาใส่ใน Resume ก็พอแล้ว
5. สำหรับคนที่ไม่มี กิจกรรมอะไรใน Resume ถ้ายังเรียนอยู่ก็พึงหาไว้ซะ ถ้าจบมาแล้วก็งต้องไปเติมเอาจากการทำงานแล้วล่ะ
6.Resume ตอนแรกที่เราทำมาตั้งแต่จบควรจะมีการปรับแก้ซัก 3-4 ทีจนจะได้ resume ที่นิ่งจริงๆ (ผมแก้ไป5รอบได้)
7. Resume ที่ส่งไปในงานแต่ละแบบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ต้อง Customize ให้เข้ากับงานที่้เราจะสมัคร
8. หลายๆทีเราก็มักจะไม่เจองานที่เราอยากทำเปิดรับสมัคร มีแค่คนที่เก่ง+โชคดี ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ได้งานที่ Match กับตัวเองตั้งแต่งานแรก คุณก็ต้องคิด Plan B ทำงานที่คิดว่าจะให้ Profile ใน resume ไปต่อยอดงานนั้นๆได้
9. เงินเดือนไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดแน่ๆ แต่ก็ต้องไม่น่าเกลียด (ผมได้งานแรกแต่สุดท้ายไปรับงานที่สองที่เงินเดือนลดมาครึ่งนึง เพราะคิดว่างานนั้นยังไม่ตอบโจทย์ จนทำให้ผมไปต่อยอดงานที่ 3 ที่อยากทำได้(+ผมโชคดีด้วย))
10. การสัมภาษณ์งาน คุณควรเตรียมตัว1-2วันก่อน เพื่อความมั่นใจเต็ม 100
10.1 หา Annual Report + Opp day ของบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์อ่านดู Direction ของบริษัท ดูแผนการที่จะทำในปีที่จะถึง ไว้ใช้คุยกับเค้า
10.2 คุณต้องเตรียมคำถามเจ๋งๆ ไปถามเค้าทุกครั้ง (ผมพกสมุดเล่มเล็กๆ ลิสคำถามไว้ 10 ข้อ ระหว่างสัมภาษคิดว่ารู้ข้อไหนแล้วก็กาออกในใจ พอเค้าถามว่ามีอะไรจะถามไหม ก็กางสมุดออกและถามๆๆ)
10.3 แต่งตัวให้ดูดี+เหมาะสมกับบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ที่สุด ถึงมันจะดูfake (วันสัมภาษแต่งซะเวอร์วันจริงมาเซอร์ๆ) แต่ทุกคนจะจำ "ครั้งแรก" ของคุณไว้อีกนานเลย ไม่มีเหตุผลที่จะแต่งตัวกากๆไปสัมถาษณ์งานยกเว้นจะไม่อยากได้งาน
10.4 ควรไปก่อนเวลาสัมภาษณ์ 10 นาที ไปนั่งรอ ไปเร็วกว่านั้นก็ไม่เหมาะ ไปช้ากว่านั้นก็ไม่ได้เตรียมตัว
10.5 ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์พยายามทำตัวใหญ่ๆไว้ เป็นเทคนิคที่หลอกร่างกายให้มีความมั่นใจมากขึ้น (ผมดูมากจาก Ted Talk >http://www.ted.com/talks/amy_cuddy_your_body_language_shapes_who_you_are)
10.6 ในการสัมภาษณ์งานจะมีคำถาม basic ๆ อยู่ 10-20ข้อ คุณต้องไปลิสมาแล้วตอบตัวเองให้ได้หมด (http://jobinterviewtipsadvice.com/)
11. เมื่อผู้สัมภาษณ์บอกว่า คุณมีอะไรจะถามไหม = เค้าไม่มีอะไรจะถามเราแล้ว ให้รีบซัดคำถามไป อย่าถามอะไรโง่ๆ เช่นทำที่นี่แล้วฟันจะผุไหมครับ(ผมเคยถาม)
12. เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามว่า คุณคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่ = เราเข้าใกล้การได้ Job Offer อีก 1 ก้้าวแล้ว
13. การขอเงินเดือน สำหรับเด็กจบใหม่ ขอให้เยอะกว่าที่อยากจะได้ เพราะส่วนมากจะโดนกดลงมา (ยกเว้นตน Management Trainee หรือ Program ที่ fix ไว้)
14. อีกวิธีที่จะได้เงินเดือนเพิ่มคือเอาOffer จากบริษัทอื่นที่ไปสัมภาษมาต่อรอง อย่าอายที่จะต่อรอง มันเป็นเงินบริษัท ไม่ใช่เงิน HR ถ้ามันสมเหตุสมผลคุณก็ขอได้ (แต่ในงานทั่วไปจะขอ +เงินเดือนได้มากสุดไม่เกิน 30%)
15. ช่วงเวลามาตรฐานสำหรับการลุ้นรอเรียก ลุ้นผลสัมภาษณ์คือ เรียก 2-4 week ผลสัมภาษณ์ 2 week (ยกเว้นSCG จะเรียกประมาณ 6 - 18 เดือน)
16. Culture ของบริษัทสังเกตได้จาก HR จริงๆ ว่า Professional/Structure ระดับไหน
ทั้งหมดนี้มาจาก ประสบการณ์ของผม ซึ่งเชื่อว่าต้องมีคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างแน่นอน ไม่ได้บอกว่าเป็น Fact of universe แต่ประการใด
[เดี๋ยวมีต่อการทำงาน เป็นภาค 2]
cash

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ช่องวางของตลาด และ segmentation

ช่องวางของตลาด และ segmentation
ผมได้มีโอกาสศึกษาธุรกิจผ้าอ้อมผู้ใหญ่-ผ้าอนามัยของญี่ปุ่นมาพอสมควร วันนี้ว่างเลยหยิบมาเล่าให้ฟังกันดู

เมื่อก่อนผู้หญิงไม่มีผ้าอนามัยใส่ นักการตลาดก็ทำให้ทุกคนใส่ผ้าอนามัย ตอนนี้ผู้หญิงทุกคนใส่ผ้าอนามัยเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่นักการตลาดทำก็คือการสร้างความต้องการในการจะใช้ผ้าอนามัยขึ้น เป็นการสร้างใหม่ ซึ่งก็คือผ้าอนามัยให้กับผู้หญิง (ลองคิดดูกันว่าเมื่อก่อนคนเราไม่ใส่กางเกงใน ก็มีคนคิดกางเกงในมาให้เราใส่ คิดชุดชั้นในให้เราใช้ จนมาวันหนึ่งก็มีคนคิดผ้าอนามัยให้อีก)

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ญี่ปุ่นออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผ้าอนามัยจิ๋วใช้ซึมซับของเหลวได้มากกว่าผ้าอนามัย เรียกว่า แผ่นกันปัสสาวะเล็ด ไว้ให้ผู้หญิงใส่ตอนที่ไม่ได้มีประจำเดือน ไม่ได้ใส่ผ้าอนามัยได้ใส่กัน
สิ่งที่นักการตลาดต้องทำคือ สร้าง Segment ใหม่ขึ้น สำหรับผ้าอนามัย จากในตอนแรกมีแค่ผ้าอนามัยซึมซับช่วงที่มีประจำเดือน ก็สร้างผ้าอนามัยใส่สำหรับช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือนซึ่งจะใช้ซึมซับปัสสาวะในปริมาณน้อย (1-20cc) เรียกว่า แผ่นกันปัสสาวะเล็ดแบบบาง

เมื่อผู้หญิงแก่ตัวลงหรือมีลูก ก็มักจะมีปัญหาปัสสาวะเล็ดรั่ว(เป็นถึง1ใน4ของผู้หญิงทั้งหมด) จึงจำเป็นจะต้องใช้แผ่นซึมซับ ที่ซึมซับของเหลวได้มากขึ้น (20-120cc) เป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่ง แผ่นกันปัสสาวะเล็ดแบบปกติ

พอเริ่มร่างกายอ่อนแอ เริ่มควบคุมร่างกายไม่ได้ ปัญหาการเล็ดรั่วก็มักจะมากขึ้น ทำให้ต้องขยับไปใช้กางเกงผ้าอ้อมแบบบาง ที่สามารถซึมซับของเหลวได้มากขึ้น 200-500cc ซึ่งจะถือว่าเป็น category ใหม่ หรือ segment ใหม่ ก็แล้วแต่ธุรกิจจะมอง

ถ้าอาการเริ่มขั้นหนักต้องนั่งรถเข็น ก็ต้องใช้กางเกงผ้าอ้อมปกติ ซึมซับของเหลวได้ 500-1000cc

ถ้าไม่สบายหนักละ ไปไหนไม่ได้ นอนบนเตียง ก็ต้องใช้ผ้าอ้อมแบบเทป ซึมซับของเหลวได้750-1500cc(ประมาณ)

เราลองกลับมาย้อนดูกันตั้งแต่ต้น
ในมุมของ consumer จะเห็นได้ว่า จากที่สมัยก่อน ผู้หญิงไม่ใช้อะไรเลย กลายมาเป็นใช้ผ้าอนามัย 
แต่ปัจจุบันในญี่ปุ่น อาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ถึง 6 ประเภท คือ 1.ผ้าอนามัย 2.ผ้าอนามัยซึมซับของเหลวขั้น1 3.ผ้าอนามัยซึมซับของเหลวขั้น2 4.กางเกงผ้าอ้อม 5.กางเกงผ้าอ้อมซึมซับ 6. ผ้าอ้อมแบบเทป 

สาเหตุุที่นักการตลาดต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทที่ผลิต พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของ consumer ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
ดังนั้นพึงจำไว้เสมอว่า ไม่ว่าตลาดใดๆ ก็มักจะมีช่องว่าง ให้คนที่มองเห็นโอกาส ได้เจาะ ได้สร้าง segment ใหม่ๆ เพื่อสร้างคุณค่าและทำกำไร ได้เสมอครับ

*แต่ไหมว่า เมื่อมองในมุมของนักการตลาด/ธุรกิจ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้กลับไมได้เดินตามขั้นพัฒนาของ consumer เนี่ยสิ! มันดันกลับหัวกลับหางกัน!!! ความจริงจะเป็นอย่างไรติดตามได้ในโพสหน้านะครับ

cash

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เมื่อเอเจนซี่ กับ นักการตลาดมาประชุมเสนองาน: ความแตกต่างระหว่างลูกค้ากับเอเจนซี่

ฝากให้ใครที่สงสัยว่าจะ ทำเอเจนซี่ดี หรือทำมาเกตติ้ง ตอนจบออกมาจากรั้วมหาลัย หรืออยากจะกระโดดออกจากสายงานเดิม

วันนี้ผมไปเข้าประชุม Storyboard present กับ creative มาครับ
(ขอบอกก่อนว่าผมเป็นเด็กน้อย marketing trainee ทำหน้าที่นั่งเงียบๆ ทั้ง session ไม่ได้ออกความเห็นทางปากใดๆ)
แต่คิดว่าประชุมครั้งนี้ได้มุมมองอะไรที่มีประโยชน์สำหรับคนที่ไม่รู้ว่างานสองงานนี้ถ้ามาประชุมงานกันมันจะเป็นยังไง



ลูกค้า และเอเจนซี่ต่างก็มี challenge ของตัวเอง ที่แตกต่างกัน จากการสังเกตของผม

ทางเอเจนซี่ ต้องคอยเจอ ลูกค้าผู้น่ารัก ต้องปรับแก้งาน ต้องคิดงานครีเอพทีพ ให้ตรงตาม brief อีกทั้งจะต้อง "น่าสนใจกว่าปกติ" "ตอบโจทย์แต่ไม่ hard sell" "โดนๆ" พูดง่ายๆคือถูกใจลูกค้า ซึ่งบางทีลูกค้าก็ไม่ได้บอกความในใจของตัวเองออกมา เพราะยังไม่รู้ว่าที่อยากได้มันเป็นอย่างไร แถมลูกค้าไม่ได้มีคนเดียวซะด้วย นี่ยังไม่รวมว่าเอเจนซี่จะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำกว่าจะคิดงานออกมาได้แต่ละชิ้น แถมตั้งทำหลายชิ้นไปให้เลือก ยังโชคดีว่าสุดท้ายยังมีคนฟันธงได้ว่าจะเอางานชิ้นไหน ไม่งั้นลูกค้าคงจะโดนสาปแช่งเป็นแน่แท้

ส่วนลูกค้าเองก็จะต้องใช้ logic มาจับครีเอทีพ มาใช้เลือกงาน ให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของตน หลายครั้งที่งานที่นำเสนอมันดูเจ๋งมาก สนุก ตลก แต่ไม่ตรงกับสิ่งที่ให้เอเจนซี่ไป ลกค้าจะก็ต้องทำใจตัดออก เพราะ ถือว่าต้องยึดตามที่ตนได้ brief ไป ถ้าไม่งั้นก็จะเป็นความเสี่ยงที่จะเสียเงินก้อนใหญ่ไปเปล่าๆ โดยไม่ก่อประโยชน์ แต่บางครั้งทก็เป็นลูกค้านี่แหละที่เป็นคนป้อน creativity กลับไปให้เอเจนซี่
แต่รู้ไหมว่าความยากยิ่งกว่านั้นคือ ใครจะไปรู้ว่าเลือก TVC แบบไหนออกไปแล้วจะสร้างยอดขายให้มากที่สุดล่ะจริงไหม ใครจกล้าพูดว่ารู้ใจลูกค้าส่วนใหญ่ได้เต็มปาก เหมือนการเสี่ยงทายดีๆ ที่มีแค่ research เป็นโพยช่วยเดาก็เท่านั้น

สุดท้ายนี้ใครที่มี skill creativity เยอะๆ ก็พึงรู้ไว้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าอยากทำทั้งสองสายงานนี้ เป็น เอเจนซี่ก็จะใช้ creative ซะเยอะหน่อย แต่ถ้าเป็นมาเกตติ้ง ก็ต้องมี logic ที่เพิ่มเข้ามาเยอะเป็นพิเศษ

นี่แค่ส่วนหนึ่งของงานทั้งภาพรวมนะครับ อาจจะเคี้ยวได้ทีละกำเล็กๆ 


แคช

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

Emotional Benefits เมื่ออารมณ์เหนือเหตุผล

เคยไหม  ที่หลายๆครั้ง เราซื้อสิ่งของบางอย่าง เพียงเพราะว่ารู้สึกว่ามันโดน หรือว่าแค่ต้องมีจะได้ไม่น้อยหน้าเพื่อน  หลายคนสามารถซื้อกระเป๋าราคาเท่ารถ(มอไซค์)ได้ หรือบางคนก็เลือกซื้อชาเขียวเฉพาะยี่ห้อของคุณตัน ทำไมเด็กๆมัธยมต้องใส่นันยาง?

หรือเคยสงสัยกันไหม ว่า ทำไมบริษัทประกันถึงชอบทำโฆษณาTVC ในเชิงดราม่าชีวิตกันเหลือเกิน ทั้งๆที่ตัวโฆษณาไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพบริการ หรือความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์เลย

ถ้าให้อธิบายตามหลักการตลาด ก็คือว่า
Value ของผลิตภัณฑ์ ที่คนเราๆรับรู้ได้นั้น เกิดจากการ รับรู้(Perceived) ถึงคุณประโยชน์ทั้งในด้าน คุณลักษณะ จุดเด่น และคุณค่าที่จับต้องได้ต่างๆ (Functional Benefits) และ รับรู้ในคุณค่าที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถหยิบแยกออกมาได้( Emotional Benefits) ซึ่งในวันนี้ผมจะมาเล่าเฉพาะการสร้างคุณค่าทางด้านของ Emotional Benefits

 Emotional Benefits ถ้ามองในมุมมองของแบรนด์ ซึ่งแบรนด์ ก็คือ คุณค่าที่จับต้องไม่ได้เป็น Intangible Assets ที่สั่งสมมาผ่านการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งคุณค่าเหล่านี้มีทั้งในด้านของ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลักษณะนิสัยของแบรนด์ ภาพลักษณ์ของคนที่ใช้  ความน่าเชื่อถือ ประวัติศาสตร์
และก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปถึงเรื่อง Branding ผมขอวกกลับมาที่ Emotional Benefits อีกครั้ง

ในทางธุรกิจนั้น การที่จะสามรถแข่งขันกับผู้อื่นได้นั้นจะต้อง เป็น Cost Leader (ซึ่งแทบจะป็นไปไม่ได้) นั้นไม่สามารถทำให้เราสามารถอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบัน เพราะขนาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ยังผลิตในประเทศจีนเลยแล้วเราเป็นใคร มีค่าแรงถูกกว่าเค้าไหม

หรือเลือกที่จะสร้างความแตกต่าง (Differentiation)  โดยการวาง Positioning ให้แตกตางจากการที่เป็นเพียง แปรงสีฟันราคาถูก รองเท้าคุณภาพดี เกาลัดเยาวราช หรือชายสี่หมี่เกี๊ยว(สาขาที่ห้าร้อย)

ผมอยากยกตัวอย่างหนึ่งซึ่งสิงสถตอยู่ในห้วงความคิดของผมบ่อยๆ  ก็คือ รองเท้านันยาง ผมเคยสงสัยมากว่าทำไมเด็กๆวัยผมถึงต้องใส่นันยางกัน เด็กผู้ชายหลายๆคนคงจะรู้ว่า รองเท้านักเรียนคู่สีดำ สีดำเหมือนกัน ราคาก็ใกล้เคียงกัน แต่เด็กส่วนหนึ่งกลับเลือกใช้นันยาง !?

สาเหตุก็คือว่านันยาง วาง Positioning ตัวเองให้เป็น รองเท้าสำหรับวัยเก๋า วัยเรียน ใส่แล้วเท่ ในสมัยของผม ถ้าไม่ใส่รองเท้านันยางขาดๆมีรูก็จะดูเป็นคนที่เรียบร้อย เป็นเด็กดี มีคุณพ่อคุณแม่มารับมาส่งตลอด แต่สำหรับคนีที่ใส่นันยางก็จะเป็นพวกเด็กหลังห้อง ชอบเตะบอล อ่านการ์ตูน สิ่งเหล่านี้เองที่เป็น คุณค่าที่แบรนด์นันยางสร้างขึ้นมา ให้พวกเรา Perceived ว่านันยางเป็นนักเรียนที่ เก๋า กว่ายี่ห้ออื่นๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ด้วยอำนาจบารมีของ แบรนด์ และ Emotional Benefits ที่สร้างขึ้นมา ทำให้กลับกลายเป็นว่า ใครไม่ใช้นันยาง เป็นคนประหลาดไป
ตัวอย่างโฆษณา

เผื่อทว่านันยาง อาจจะยังไม่ทำให้เข้าใจ ผมขอยกสินค้าอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแล้ว ก็คือบรรดากระเป๋าแบรนด์เนมทั้งหลาย สิค้าประเภทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้าง Emotional Benefits เพราะถึงแม้ว่าตัวสินค้าจะมีคุณภาพสูง แต่คนจีนก็สามารถผลิตได้เหมือน จะต่างเพียงแค่มันเป็นเพยีงสินค้าเลียนแบบเท่านั้นเอง ดังนั้นสินค้าประเภทนี้นั้น จุดขายเด่นที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมักจะเป็นคุณค่าในด้าน Emotional Benefits ซะมาก (ก็ถ้าอยากได้กระเป๋าใบละ 3-4ร้อยก็มีขาย ทำไมต้องซื้อใบละเป็นหมื่นๆแสนๆ ล่ะ) ซึ่งคุณค่าเหล่านั้นก็ได้แก่ การเป็น สินค้าที่ผลิตด้วยมือคนจริงๆ งานทุกชิ้นนั้นมีความแตกต่างกัน เป็นงานที่มีจิตวิญญาณใส่เข้าไป, หรือจะเป็นคุณค่าทางด้านสถานะทางสังคม (ซึ่งเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีมานมนาน) โดยทฤษีนี้กล่าวว่ามนุษย์จะจับจ่ายใช้สอยเพือแสดงถึง ฐานะ อำนาจบารมีของตน

ดังนั้นไม่แปลกเลยที่คนเรา จะซื้อกระเป๋าใบละหลายหมื่นบาท หรือเลือกที่จะดื่มไวน์ราคาเป็นแสน (ถ้ามีเงิน) ซึ่งที่จริงแล้วรสชาติไม่ต่างกับไวน์ราคาหลักร้อย หลักพันบาท เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม เพียงแต่ว่าเราต้อง สมดุลกับรายได้ที่เราสามารถหาได้ด้วย

และในเรื่องบางเรื่อง Functional Benefits ก็อาจมีน้ำหนักมากกว่าก็การใช้อารมณ์ก็เป็นได้!

มี Quote คำหนึ่งที่เหมาะสมกับหัวข้อในวันนี้มาก ผมจึงอยากจะเอามาแชร์ให้ทุกคนนั่นก็คือ

"Reason Leads to Conclusions but Emotions Leads to Action"


จริงอยู่ว่าเราควรต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจ แต่ลองไปทบทวนในแต่ละวันของคุณกันนะครับ ว่ามีกี่ครั้งที่คุณใช้เหตุผลในการตัดสินใจ หรือคุณใช้อารมณ์มากกว่านะครับ
(เรื่องนี้ไว้ถ้าว่างๆมากๆจะมาต่อยอด ในเรื่องของการเอาหลักธรรมของศาสนาพุทธมาอธิบายนะครับ ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ เดี๋ยวเขียนไปจะไม่ได้ใจความ )

cash

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วย การวาง Positioning

Positioning ในทางการตลาด หมายถึงการวางบางสิ่งบางอย่าง ให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้บริโภค
ให้เป็นที่จดจำได้ เช่นถ้าให้เราลองจำกัดความสิ่งต่างๆด้วยคำสั้นๆ

ถ้าเป็น สตาบัคส์ ก็คงเป็นบ้านหลังที่3 ให้เข้าไปนั่งชิลล์ อ่านหนังสือได้  หรือถ้าร้าน 7-11 ก็คงจะใกล้กับคำว่าความสะดวก AXE ก็เป็นเก๋าเสี่ยว นิ้วกลม ก็คงจะเป็นจินตนาการความสร้างสรรค์ หรือถ้าให้ใกล้ตัวมาอีก ร้านก๋วยเตี๋ยวอดทนคณะรัฐศาสตร์ ก็คงจะเป็นว่า รอนานแต่อร่อย ไก่ทอดอักษร ก็ไก่ทอด(ได้ดูสาว)อักษร ทั้งนี้ คำจำกัดความในใจของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน (เนื่องคนในโลกนี้คงไม่มีใครที่จะสามารถรับสารที่รับออกมาได้เต็ม 100%)

แล้วเคยตั้งคำถามไหมว่า ผู้คนนั้นจำกัดความตัวคุณว่าอย่างไร ว่าง่ายๆคือเวลาเค้าเรียกคุณ หรือนึกถึงคุณ เค้าจะนึกถึงอะไรก่อน เช่น คนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงคุณว่า อ๋อ คนที่ใส่แว่นใช่รึเปล่า, คนที่ตัวสูงๆใช่ป่ะ, คนที่หล่อๆ/สวยๆคนนั้นเหรอ, คนที่นิสัยดีๆคนนั้นใช่ป่ะ, อ๋อคนที่ชอบขี้บ่นน่ะหรือ

ถึงจุดนี้ ผมอยากตั้งคำถามต่อว่า แล้วคุณคิดว่าพอใจไหม ที่จะให้ผู้คนจดจำเราได้เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก หรือว่าลักษณะนิสัย ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าของตัวเอง สิ่งที่คุณต้องทำคือ แสดงมันออกมา จะชอบเต้น ชอบร้องเพลง ชอบทำงาน ชอบเขียนหนังสือ ชอบขายของ ก็แสดงมันออกมา! ทำให้คน perceive คุณค่าของคุณที่มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก หรือนิสัยของคุณ

การวาง Positioning ของตัวเอง ก่อนอื่นคุณต้องหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอ ในโลกนี้มีสิ่งที่น่าสนใจให้เราทำมากมาย แต่ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง เพียงแต่ต้องหามันให้เจอก็เท่านั้นแหละ คุณต้องมี Goal ของชีวิต คุณอยากจะเป็นอะไรในอีก หลายๆปีข้างหน้า

หรือถ้ามองในระยะอันใกล้สำหรับใครที่กำลังเรียนอยุ่ แล้วอยากจะได้งานในบริษัทชั้นนำ ก็ต้องไปศึกษาก่อนนะครับว่า บริษัทนั้น มี personality ยังไง core value ของเค้าคืออะไร เค้าชอบคนแบบไหน นั่นละครับ เราก็ วาง positioning ของตัวเองตอนไปสัมภาษณ์ ทั้งเรื่องของ resume, กิจกรรมที่เคยเข้าร่วม, ลักษณะบุคคลิค ให้ตรงกับที่เค้าต้องการครับ ซึ่งทั้งนี้สิ่งเหล่านั้นก็ควระจะตรงกับนิสัยหรือ Inside ของเราด้วยนะครับ เพราะถ้าเราเสแสร้งไป มันก็จะไม่ Authentic ครับ เค้าก็จะไม่เชื่อ ไม่ไว้วางใจเราครับ

สุดท้ายก็คือการลงมือทำครับ Just do it ทำให้ผู้คนรับรู้ ชอบอะไรก็ทำไปครับ อ่านหนังสือ หาประสบการณ์ หากิจกรรมทำ ไปร่วมแข่งขัน สร้างเสริมทักษะที่จำเป็น ปรับปรุงบุคคลิก  เรียนรู้กันไป ผิดพลาดกันไป ให้ผู้คนเขารับรู้ครับ (ใน Outcome ของเรานะครับ ไม่ต้องไปป่าวประกาศให้โลกรู้ว่ากำลังวาง positioning ตัวเองอยู่ เพราะมันก็จะไม่ Authentic อีกครับ ตัวเองพูดไม่เท่าให้คนอื่นอวยให้ครับ ฮ่าๆ)

และนอกจากความสามารถของตนแล้ว ลักษณะนิสัยบุคลิคที่ดี ก็สามารถทำสร้างความแตกต่างและคุณค่าให้กับตัวเองได้ คงไม่มีใครที่จะไม่อยากทำงานกับคนที่มองโลก ในแง่บวก ชอบคิดสร้างสรรค์ รู้จักการให้อภัย และเปิดใจรับฟังความเห็นจากผู้อื่น หรอก

สุดท้ายถ้าเกิดใครมีถามว่าเราจะทำตัวแตกต่างคนอื่นไปทำไม ก็เป็นเหมือนคนอื่นนั่นแหละดีแล้ว ?

ถามว่าตอนไปสมัครงาน คนสมัครงานเค้าจะแยกเรากับผู้สมัครคนอื่นๆออกไหมครับ (สมุมติว่าเกรดเท่าๆกัน จบมาจากที่เดียวกัน) เขาก็ต้องเลือกคนที่ แตกต่าง โดดเด่นจากคนอื่น(ในทางที่ดีนะ) อยู่แล้วครับ

สุดท้ายอยากฝากอะไรให้ไปคิดกันเล่นๆนะครับ

ในโลกที่ทุกคนทำอะไรเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าเหมือนๆกัน ดูหนังแนวเดียวกัน ตามเทรนด์เดียวกัน แต่ถ้าเราปราศจาก "สไตล์" หรือ positioning ก็คงไม่ต่างอะไรจากคำว่า follow the trend but no style นะครับ(แต่งเอง ถ้าผิดพลาดอะไรอย่าว่ากัน ฮ่าๆ)

ผมจะพยายามปรับเนื้อให้ให้ ใกล้ตัวกับทุกคนมากขึ้น นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตแต่ละวันให้ได้เหมาะสมยิ่งให้
และสุดท้าย ให้ "เคี้ยวง่าย" ยิ่งขึ้นครับ

cash

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

การตลาด และงานขาย เหมาะกับอาชีพทางด้านไหนบ้าง

ทุกวันนี้หลายคนยังอาจจะเข้าใจอยู่ว่า การตลาด นั้นเป็นเพียงศาสตร์ที่จำเป็นแก่ผู้ที่จะต้องทำธุรกิจทางด้าน ติดต่อค้าขาย หรือธุรกิจบริการเท่านั้น (หรือบางท่านยังอาจจะคิดว่ามีเพียงนักการตลาดเท่านั้นที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ศาสตร์นี้)
ถ้ามองในภาพง่ายๆ การตลาดคือการที่
1.ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
2.ต้องสร้างกำไรให้
3.ต้องสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

ผมถามต่อไปว่า มีอาชีพไหนในโลกนี้บ้าง ที่ไม่อยากทำให้ได้ 3 ข้อนี้(ถ้าคุณคิดว่าแค่ขอทำงานไปวันๆก็พอแล้ว ต้องขอให้รีบเปลี่ยน Mindset ของตัวเองนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะโลกหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ไม่รู้จักปรับตัว ก็จะเป็นผู้ล้มหายตายจากไปไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง หรือจะเป็นบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ก็ตาม)
สมุมติว่าคุณเป็นผู้สอบบัญชี งานของคุณก็คือการ ตรวจสอบ และยืนยันงบการเงิน ของบริษัทผู้ว่าจ้าง ว่าถูกต้องตามหลัก และไม่มีข้อผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ ลูกค้าของคุณก็คือบริษัทผู้ว่าจ้าง ถ้าคุณทำงานได้ดี บริษัทประทับใจ คุณก็อาจจะได้รับเลือกให้เข้ามาตรวจสอบบัญชีในภายหน้าอีก นี่คือการสร้างกำไรในระยะยาว คุณจะต้องสามารถขายงานของตัวเอง ขายชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือของตน เพื่อที่จะทำให้ เป็นที่ยอมรับจากผู้ว่าจ้างได้

และผู้ที่สามารถสร้างก่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าได้ ตั้งแต่ขั้นตั้งไข่เป็นคนแปลกหน้าระหว่างกัน จนถึงขั้นที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเหล่านั้นได้ ก็จะเป็นการยกกำลัง คุณค่าของธุรกิจ, บุคคล เพราะคนเหล่านั้นนี่แหละ ที่จะช่วยป่าวประกาศก้องความดีงามของคุณให้โลกได้รู้(และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Social Network, Blogging, Web Community รับรองได้ว่าลูกค้าที่ไม่พอใจคุณเพียงคนเดียว สามารถทำให้ธุรกิจคุณต้องเจอเส้นทางที่ขรุขระได้)

หลายคนอาจมีร้านโปรดที่ต้องไปกินเป็นประจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน, หรือกาแฟสุดหรู ที่ต้องไปซื้อทุกเช้า ธุรกิจเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่มากกว่า การขายสินค้าและบริการธรรมดาๆ พวกเขาทำการตลาด ซึ่งหลายครั้งเราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งหลายอย่างถูกคิดและออกแบบมา อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น กลิ่น หรือเสียงเพลงที่เปิดในร้าน หรือจะเป็น การอัดออกซิเจน ให้หนาแน่นกว่าปกติในคาสิโน(ซึ่งอาจจะไม่ใช่การตลาดที่ถูกต้องนัก)

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจมนุษย์ ผ่านหลักทฤษีต่างๆ แล้วนำมาเป็นกระบวนการ(Marketing Strategy, Concept ต่างๆ) ซึ่งทุกคนทุกอาชีพสามารถนำมาปรับใช้ในหน้าที่การงานของตน เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตนเองได้(Value Added) ซึ่ง Strategy และ Concept ต่างๆนั้นผมจะกล่าวต่อในบทถัดๆไป

cash

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

Why ChewChill ?

ผมสร้าง blog นี้ขึ้นมาตามคำแนะนำของพี่ต้น (Tonzero) เพื่อที่จะใช้เป็น reminder และ milestoneของชีวิต และ แชร์คุณค่าให้แก่เพื่อนๆน้องๆ ผ่านการเขียน Blog ที่จะให้ความรู้ด้าน การตลาด, ธุรกิจ, ประสบการณ์และทัศนคติส่วนตัว ในภาษาที่เคี้ยว(เข้าใจ)ง่าย 
cash