เมื่อเอเจนซี่ กับ นักการตลาดมาประชุมเสนองาน: ความแตกต่างระหว่างลูกค้ากับเอเจนซี่
ฝากให้ใครที่สงสัยว่าจะ ทำเอเจนซี่ดี หรือทำมาเกตติ้ง ตอนจบออกมาจากรั้วมหาลัย หรืออยากจะกระโดดออกจากสายงานเดิม
วันนี้ผมไปเข้าประชุม Storyboard present กับ creative มาครับ
(ขอบอกก่อนว่าผมเป็นเด็กน้อย marketing trainee ทำหน้าที่นั่งเงียบๆ ทั้ง session ไม่ได้ออกความเห็นทางปากใดๆ)
แต่คิดว่าประชุมครั้งนี้ได้มุมมองอะไรที่มีประโยชน์สำหรับคนที่ไม่รู้ว่างานสองงานนี้ถ้ามาประชุมงานกันมันจะเป็นยังไง
ลูกค้า และเอเจนซี่ต่างก็มี challenge ของตัวเอง ที่แตกต่างกัน จากการสังเกตของผม
ทางเอเจนซี่ ต้องคอยเจอ ลูกค้าผู้น่ารัก ต้องปรับแก้งาน ต้องคิดงานครีเอพทีพ ให้ตรงตาม brief อีกทั้งจะต้อง "น่าสนใจกว่าปกติ" "ตอบโจทย์แต่ไม่ hard sell" "โดนๆ" พูดง่ายๆคือถูกใจลูกค้า ซึ่งบางทีลูกค้าก็ไม่ได้บอกความในใจของตัวเองออกมา เพราะยังไม่รู้ว่าที่อยากได้มันเป็นอย่างไร แถมลูกค้าไม่ได้มีคนเดียวซะด้วย นี่ยังไม่รวมว่าเอเจนซี่จะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำกว่าจะคิดงานออกมาได้แต่ละชิ้น แถมตั้งทำหลายชิ้นไปให้เลือก ยังโชคดีว่าสุดท้ายยังมีคนฟันธงได้ว่าจะเอางานชิ้นไหน ไม่งั้นลูกค้าคงจะโดนสาปแช่งเป็นแน่แท้
ส่วนลูกค้าเองก็จะต้องใช้ logic มาจับครีเอทีพ มาใช้เลือกงาน ให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของตน หลายครั้งที่งานที่นำเสนอมันดูเจ๋งมาก สนุก ตลก แต่ไม่ตรงกับสิ่งที่ให้เอเจนซี่ไป ลกค้าจะก็ต้องทำใจตัดออก เพราะ ถือว่าต้องยึดตามที่ตนได้ brief ไป ถ้าไม่งั้นก็จะเป็นความเสี่ยงที่จะเสียเงินก้อนใหญ่ไปเปล่าๆ โดยไม่ก่อประโยชน์ แต่บางครั้งทก็เป็นลูกค้านี่แหละที่เป็นคนป้อน creativity กลับไปให้เอเจนซี่
แต่รู้ไหมว่าความยากยิ่งกว่านั้นคือ ใครจะไปรู้ว่าเลือก TVC แบบไหนออกไปแล้วจะสร้างยอดขายให้มากที่สุดล่ะจริงไหม ใครจกล้าพูดว่ารู้ใจลูกค้าส่วนใหญ่ได้เต็มปาก เหมือนการเสี่ยงทายดีๆ ที่มีแค่ research เป็นโพยช่วยเดาก็เท่านั้น
สุดท้ายนี้ใครที่มี skill creativity เยอะๆ ก็พึงรู้ไว้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าอยากทำทั้งสองสายงานนี้ เป็น เอเจนซี่ก็จะใช้ creative ซะเยอะหน่อย แต่ถ้าเป็นมาเกตติ้ง ก็ต้องมี logic ที่เพิ่มเข้ามาเยอะเป็นพิเศษ
นี่แค่ส่วนหนึ่งของงานทั้งภาพรวมนะครับ อาจจะเคี้ยวได้ทีละกำเล็กๆ
แคช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น